วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ร่างกายของเรา

ร่างกายของเรา
การจัดระบบในร่างกาย
ในร่างกายถ้าเปรียบระบบอวัยวะกับการทำงานของระบบโรงงานสามารถเปรียบได้ดังนี้ เช่นผิวหนัง, ขน, เล็บ เปรียบเหมือน กำแพง ด่านตรวจ สมอง เปรียบเหมือน คอมพิวเตอร์ ตา เปรียบเหมือน กล้อง V.D.O. วงจรปิด รปภ. ลิ้น เปรียบเหมือน ผู้ตรวจสอบคุณภาพ หัวใจ เปรียบเหมือน เครื่องปั้มน้ำ ปอด เปรียบเหมือน แอร์ ( ก๊าช ) ไต ตับ เปรียบเหมือน เครื่องกำจัดของเสีย ถังขยะ กระเพาะอาหาร,ลำไส้ เปรียบเหมือน ห้องครัว ในร่างกายจะประกอบด้วยหน่วยของสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดคือเซลล์(cell)เซลล์ที่มีขนาดเล็กที่สุดคือสเปิร์ม (sperm) และใหญ่ที่สุดคือไข่ (egg) cell หลาย ๆ cell รวมกันกลายเป็น เนื้อเยื่อ (tissue) เนื้อเยื่อ (tissue) หลาย ๆ เนื้อเยื่อ (tissue) รวมกันกลายเป็น ระบบ (system) ระบบ (system) หลาย ๆ ระบบ (system) รวมกันกลายเป็น ส่วนประกอบของร่างกาย ส่วนประกอบของร่างกาย (parts 0f body) รวมกันกลายเป็น ร่างกาย (body)

เซลล์ที่เป็นองค์ประกอบของร่างกาย
1. เซลล์ร่างกาย (body cell) ลักษณะแบนบาง มีนิวเคลียสอยู่ตรงกลางพบตามร่างกาย
2. เซลล์เยื่อบุ (epidermis) ลักษณะแบนบาง มีนิวเคลียสตรงกลางนูนเหมือนไข่ดาว พบตามเยื่อบุที่มีผนังบางมีเมือก (mucus) หล่อเลี้ยง เช่น ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม ดวงตา อวัยวะเพศภายใน
3. เซลล์กล้ามเนื้อ (muscle cell) มี 3 ชนิด
3.1 เซลล์กล้ามเนื้อลาย (reticular muscle) พบตาม แขน ขา
3.2 เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) พบตาม อวัยวะภายใน เช่น ทางเดินอาหาร
3.3 เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac cell) พบที่หัวใจ
4. เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell ; RBC)
5. เซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell ; WBC)
6. เซลล์ประสาท
7. เซลล์กระดูก
8. เซลล์สมอง
9. เซลล์สืบพันธุ์

ระบบต่างๆในร่างกายทำงานประสานงานกันอย่างมีระบบ ถ้าระบบใดระบบหนึ่งผิดปรกติ ร่างกายก็จะแสดงความผิดปรกติออกมา เช่น พิการ เป็นโรค ฯลฯ ระบบต่างๆในร่างกายที่จะได้ศึกษา ได้แก่
1.ระบบย่อยอาหาร 2. ระบบสืบพันธุ์ 3. ระบบหัวใจการหมุนเวียนของเลือด 4. ระบบหายใจ 5. ระบบการขับถ่ายหรือการกำจัดของเสีย 6. ระบบประสาท 7. ระบบกล้ามเนื้อ 8. ระบบกระดูก 9. ระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนระบบอื่นๆที่จะได้ศึกษาต่อไป ได้แก่ ระบบฮอร์โมน ฯลฯ

2.1 ระบบย่อยอาหาร (Digestion)
ระบบย่อยอาหารทำหน้าที่ เปลี่ยนอาหารมีโมเลกุลขนาดใหญ่ ให้เป็นสารอาหารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กซึ่งร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างพลังงาน สร้างความเจริญขั้นตอนต่างๆ ที่จะเปลี่ยนจากอาหารให้เป็นสารอาหารก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดบริเวณผนังของลำไส้เล็ก การย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะที่เกี่ยวข้อง น้ำย่อย และ ตัวเร่งปฏิกิริยา

2.1.1 อวัยวะที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย อวัยวะที่เกี่ยวข้องโดยตรง และโดยอ้อม
ก. อวัยวะที่เกี่ยวข้องโดยตรง ประกอบด้วย
1. ปากและฟัน (mouth and teeth) ประกอบด้วย
1.1 ริมฝีปาก พบชนิดสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม ประกอบด้วยเซลล์เยื่อบุ ติดต่อกับผนังเยื่อบุข้างแก้ม
1.2 ช่องแก้ม ประกอบด้วยเซลล์ เยื่อบุเป็นบริเวณที่ผลิตน้ำเมือกและเป็นทางเปิดออกของต่อมน้ำลาย
1.3 ช่องปาก ประกอบด้วยเพดานปาก ลิ้นไก่ บริเวณใต้ลิ้น
1.4 ต่อมน้ำลาย (salivary gland) อยู่รอบ ๆ ปาก มี 3 คู่
ก. ต่อมน้ำลาย ใต้กกหู (parotid gland) เป็นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ทางด้านล่างของหูทั้ง 2 ข้าง ประกอบด้วยเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างน้ำลายชนิดใส (serous)ถ้าต่อมนี้ติดเชื้อไวรัสจะทำให้อักเสบ บวม เรียกว่าโรคคางทูม ในเพศชายเชื้ออาจรุกลามไปถึงลูกอัณฑะทำให้เป็นหมันในที่สุด
ข. ต่อมน้ำลาย ใต้ขากรรไกร (submandibular gland) มีลักษณะคล้ายรูปไข่ เปิดสู่เพดานล่างของปากทางด้นข้างของฟันตัดด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างน้ำลายชนิดใส และชนิดข้นเล็กน้อย

ค. ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น (sublingual gland) อยู่ตรงกลางระหว่างขากรรไกรล่างบริเวณใต้ลิ้นประกอบด้วยเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างน้ำลายชนิดข้น (mucous)

ส่วนประกอบและคุณสมบัติของน้ำลาย
1. มีค่า pH ระหว่าง 6.2-7.4 ประสิทธิภาพของน้ำลายสูงสุดที่ pH = 6.8 (กรดอ่อน ๆ)
2. มีน้ำเป็นองค์ประกอบ 97-99 %
3. เป็นสารที่มีสภาพหนืด ประกอบด้วย ฟอสฟอรัส และแคลเซียมในปริมาณสูง
4. ประกอบด้วยน้ำย่อย (enzyme) ที่ทำหน้าที่ย่อยแป้ง คือ เอนไซม์ไทยาลินหรือเอนไซม์อะไมเลส(ptyalin or amylase)
5. มีสารเมือก (mucus) ช่อยในการหล่อลื่น

หน้าที่ของน้ำลาย
1. ช่วยกลืนอาหารได้ง่ายขึ้น
2. ควบคุมปริมาณน้ำในร่างกาย
3. ทำหน้าที่ย่อยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรท
4. ทำหน้าที่ทำลายอาหาร ให้ต่อมรับรส (tast bud) รับรสอาหารได้ช่วยทำความสะอาดปากและฟัน
5. ช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวของลิ้นขณะพูด
6. ขับสารบางชนิดออกมา (excretory) ได้แก่ ยูเรีย น้ำตาล ละสารพิษต่าง ๆ เช่น ปรอท (Hg)
ตะกั่ว (Pb)

1.5 ลิ้น (tongue) ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ ผนังของลิ้นเป็นตุ่มนูนขึ้นมาซึ่งประกอบด้วยเซลล์ประสาทมากมาย ลิ้นช่วยในการคลุกเคล้าอาหารและให้น้ำลายคลุกเคล้าอาหารได้ทั่วถึง และช่วยในการกลืน นอกจากนี้ยังช่วยในการให้เกิดเสียงและช่วยรับรสอีกด้วย


ตำแหน่งของลิ้นที่ช่วยในการรับรส
ปลายลิ้น รับรส หวาน ขอบลิ้นส่วนหน้า รับรส เค็ม ขอบลิ้นส่วนล่าง รับรส เปรี้ยว โคนลิ้น รับรส ขม

1.6 ฟัน ประกอบด้วย

๑. ตัวฟัน เป็นส่วนที่โผล่ออกจากขากรรไกร เมื่อนำมาผ่าตามแนวยาวจะเห็น ส่วนประกอบดังนี้
ก. ชั้นเคลือบฟัน(enamel) ประกอบด้วย แคลเซียมฟลูออไรด์ (CaF2 ) มีสีขาวเนื้อแน่นเป็นส่วนที่แข็งที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ปกป้องเนื้อฟันไว้สำหรับบดเคี้ยวอาหาร
ข. ชั้นเนื้อฟัน (dentine) อยู่ในชั้นใต้ชั้นเคลือบฟัน ในส่วนนี้ประกอบด้วย cell ที่มีชีวิตทำหน้าที่สร้างเนื้อฟันได้
ค. ชั้นโพรงประสาทฟัน (neck) เนื้อคอฟัน ส่วนนี้ประกอบด้วย cell ประสาท และหลอดเลือดโยผ่านมาทางคลองรากฟัน
๒. รากฟัน (root) เป็นส่วนที่ติดกับขากรรไกร หุ้มด้วยเหงือก

สาเหตุที่ทำให้เกิดฟันผุ เนื่องจากมีจุลินทรีย์ในช่องปากย่อยสลายเศษอาหาร เช่น น้ำตาล เมื่อถูกย่อยจะได้กรด แล้วจะไปทำลายฟัน ดังนี้
1. กัดสารเคลือบฟัน ทำให้เกิดร่อง
2. กรดจะเจาะเข้าไปถึงชั้นเนื้อฟันและโพรงประสาทฟัน ทำให้ปวด
3. เมื่อลามถึงรากฟัน ฟันจะหลุดออก
* จุลินทรีย์ใช้น้ำตาลสร้างเมือกเหนียวให้ติดกับตัวฟันเรียกว่า พลัค (plaque)

ชนิดของฟัน
1. ฟันน้ำนม (Temporary teeth) มีทั้งหมด 20 ซี่ บน 10 ล่าง 10 ฟันน้ำนมจะงอกตั้งแต่ 6 เดือน - 12 ปี ฟันน้ำนมจะเริ่มหลุดตั้งแต่อายุประมาณ 2 ปีครึ่ง ถึง 12 ปี
2. ฟันแท้ (Permanent teeth) มีทั้งหมด 28-32 ซี่ แล้วแต่ฟันกรามหลังจะงอกครบหรือไม่ อยู่ขากรรไกรบน 16 ซี่ และ ขากรรไกร 16 ซี่


รูปร่างและหน้าที่ของฟัน
1. ฟันตัด (Incisor; I) อยู่ส่วนหน้ามีรูปร่างบางคล้ายลิ่มมีจำนวนทั้งหมด 8 ซี่



2. ฟันเขี้ยว (Canine;C) ทำหน้าที่ฉีกกัดอาหาร และรักษามุมปาก มีจำนวน 4 ซี่

3. ฟันเคี้ยวหรือกรามหน้า (Prermolar;P) มีจำนวนทั้งหมด 8 ซี่ ทำหน้าที่ในการบดเคี้ยวอาหาร

4. ฟันกรามหลัง (Molar;M) ฟันบด มีความแข็งแรงใช้บดอาหาร มีจำนวน 12 ซี่

*ข้อ 1 และ 2 เรียกว่า ฟันหน้า ข้อ 3 และ 4 เรียกว่า ฟันหลัง

ข้อแตกต่างระหว่างฟันแท้กับฟันน้ำนม
1. ขนาด ฟันแท้มีรูปร่างขนาดใหญ่กว่า
2. สี ฟันน้ำนมขาว ฟันแท้สีนวลขึ้น
3. ส่วนของคอฟัน ฟันน้ำนมคอคอดมากสั้น ฟันแท้คอดน้อยยาว
4. รากฟัน ฟันน้ำนมห่าง ฟันแท้จะถี่
สรุป ฟันแท้ คือ I 4/4 C 2/2 P 4/4 M 6/6

2. คอหอย (pharynx) เป็นท่ออยู่ระหว่างด้านหลังของช่องปากและหลอดลม บริเวณนนี้เป็นจุดเชื่อมระหว่างหลอดลมกับหลอดอาหารโดยมีกลไกควบคุมการส่งอาหารหรืออากาศคนละเวลากัน นอกจากนี้ยังประกอบด้วยต่อน้ำเหลือง 3 คู่อยู่รอบ ๆ คอหอย มีหน้าที่ดักจับเชื้อโรค เรียกว่า “ต่อมทอนซิล” (tonsil)
3. หลอดอาหาร (oesophagus) อยู่ต่อจากคอหอยอยู่ด้านหลังหลอดลม (trachea) ส่วนบนเป็นกล้ามเนื้อลายมีหูรูด ช่วยปิดเปิดหลอดอาหารระหว่างกลืนอาหารส่วนท้ายเป็นกล้ามเนื้อเรียบ ช่วยบีบส่งอาหารเป็นระยะ เรียกว่า เพอรีสตัลซีส (peristalsis) ช่วยให้อาหารเคลื่อนที่ได้สะดวก
4. กระเพาะอาหาร (stomach) อยู่บริเวณด้านซ้ายของช่องท้องกว้างประมาณ 5 นิ้ว ยาว 10 นิ้ว แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
ก. คาร์ดิแอค (Cardiac) เป็นส่วนที่ต่อจากหลอดอาหาร
ข. ส่วนฟันดัส (Fundus) เป็นส่วนมีขนาดใหญ่เรียกว่า “บอดี้” (body)
ค. ไพโลรัส (Pylorus) เป็นส่วนท้ายของกระเพาะที่ต่อกับลำไส้เล็กตรง ทำหน้าที่ส่งอาหารสู่ลำไส้เล็กเป็นระยะ ๆ
5. ลำไส้เล็ก (Small Intestine) ยาวประมาณ 10 m แบ่งออกเป็น 3 ตอนได้แก่
ก. ดูโอดีนัม (Duodenum) ต่อจากกระเพาะอาหารยาวประมาณ 1 ฟุต ส่วนบนมีท่อเปิดจากตับอ่อนมีท่อส่งน้ำดีกับน้ำย่อยต่าง ๆ บริเวณส่วนนี้จะมีลักษณะเป็น รูปตัว U
ข. เจจูนัม (Jejunum) ยาวประมาณ 8-9 ฟุต ย่อยและดูดซึมอาหารและสารอาหารมากที่สุด
ค. อิเลียม (Ileum) ส่วนสุดท้ายต่อกับลำไส้ใหญ่เป็นมุมฉากบริเวณไส้ติ่งยาวประมาณ 2-3 ฟุต ทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมอาหารมาสู่ร่างกายค่อนข้างน้อย
หมายเหตุ กระเพาะอาหารมีปริมาณ 50 cc แต่เมื่อได้รับอาหารจะยาวถึง 2000 cc หรือ 2 ลิตร ทำหน้าที่พักอาหารบริเวณเยื่อบุภายในจะมีต่อมผลิตน้ำย่อย (Grastric gland) ทำหน้าที่ผลิตน้ำย่อยและกรดเกลือ (HCl) ซึ่งทำให้อาหารโปรตีนมีอนุภาคเล็กลง
ที่ผนังด้านในของลำไส้เล็กประกอบด้วยตุ่มเล็ก ๆ มากมาย ประมาณ 20-40 อัน/mm2 (ตารางมิลลิเมตร) ตุ่มเหล่านี้เรียกว่า “วิลลัส” (Villus) ด้านในประกอบด้วยเส้นเลือดและเส้นน้ำเหลือง เลือดทำหน้าที่ในการดูดซึมอาหารและทำลายเชื้อโรค ตามลำดับ
6. ลำไส้ใหญ่ (Large Intestine) ยาวประมาณ 1.5 เมตร เริ่มตั้งแต่ส่วนของอิเลียมจนถึงทวารหนัก แบ่งเป็น 4 ส่ว
ก. ซีกัม (Cecum) ต่อจากอิเลียมยาวประมาณ 5-8 เซนติเมตร ตรงรอยต่อมีหูรูด บริเวณนี้มีไส้เล็ก ๆ เรียกว่า “ไส้ติ่ง” (Appendix) ส่วน
ข. โคลอน (Colon) แบ่งเป็น 3 ตอน ตั้งฉากกันเป็นส่วนที่ยาวที่สุด
ค. ส่วนของเร็กตัม (Rectum) หรือเรียกว่าไส้ตรง สิ้นสุดที่ทวารหนักยาวประมาณ 12-15 ซม. อยู่ด้านหลังกระเพาะปัสสาวะหรือมดลูก บริเวณนี้มีแนวโน้มให้เกิดโรคมะเร็งมากที่สุด
ง. ช่องทวารหนัก (Anal Canal) ยาวประมาณ 2.5 - 3.5 ซม. ปลายสุดเปิดออกนอกร่างกายเรียกว่า “ทวารหนัก (Anus)” ประกอบด้วยหูรูด(sphincter) 2 แห่ง คือ ด้านนอกและด้านใน หูรูดด้านในอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของจิตใจ หูรูดส่วนนอกอยู่ภายใต้อำนาจจิตใจ
หน้าที่ของลำไส้ใหญ่
1. สะสมกากอาหาร
2. ดูดซึมแร่ธาตุ น้ำ กลูโคส
3. มีจุลินทรีย์ช่วยในการย่อยกากอาหารโดยเฉพาะเซลลูโลส ให้มีสภาพเหลวหรืออ่อนนุ่ม
ข. อวัยวะที่เกี่ยวข้องโดยอ้อม
1. ตับ (Liver) เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายมี 2 ซีก ซ้าย-ขวา มีสีน้ำตาลเนื้อแน่น หนักประมาณ 3.3 - 3.5 ปอนด์ ภายในประกอบด้วยก้อนเล็ก ๆ มากมายเรียกว่า “โลบุล (Lobul)” ระหว่างโลบุลมีช่องว่างเล็ก ๆ เป็นทางผ่านของเลือด เรียกว่า “ไซนูซอยด์ (Sinusiod)” นอกจากนี้ยังมีถุงน้ำดีอยู่ด้วย

หน้าที่ของตับ
1. สร้างน้ำดีจากเม็ดเลือกแดงที่หมดอายุคือ ประมาณ 120 วัน
2. สร้างเลือดในขณะที่ยังเป็นตัวอ่อนอยู่ (Fetus)
3. ทำลายเม็ดเลือดแดง
4. เปลี่ยนกลูโคสเป็นไกลโคเจน หรือสลายไกลโคเจนให้เป็นกลูโคสเมื่อร่างกายขาดแคลน
5. ทำลายพิษที่ร่างกายรับเข้ามาหรือสร้างขึ้น เช่น แอลกอฮอล์ โลหะหนัก อะฟลาทอกซิล
6. สร้างน้ำเหลืองประกอบด้วยเม็ดเลือดขาว ภูมิคุ้มกัน
2. ตับอ่อน (Pancreas) มีลักษณะคล้ายใบไม้ยาวประมาณ 20-25 ซม. สีแดงหรือสีเทา มีต่อเปิดสู่ส่วนโค้งของดูโอดีนัม ทำหน้าที่เป็นต่อมมีท่อและต่อมไร้ท่อ ผลิตของเหลวได้ประมาณ 2 ลิตร ซึ่งประกอบด้วย
ก. น้ำย่อย ซึ่งทำหน้าที่ย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรท และไขมัน
ข. โซเดียมไบคาร์บอเนต มีคุณสมบัติเป็นเบส (ด่าง) เพื่อปรับสภาพอาหารที่มาจากกระเพาะอาหารซึ่งมีสภาพเป็นกรด ให้มีสภาพเป็นกลางหรือเป็นเบสอ่อน ๆ เพื่อจะไม่ทำลายเยื่อบุของลำไส้เล็ก (Villi)
2.1.2 น้ำย่อย (enzyme) ประกอบด้วย ไทยาลิน ในน้ำลาย เปปซินในกระเพาะอาหาร น้ำย่อยอื่น ๆ ที่ ดูโอดินัม และตับอ่อน
2.1.3 ตัวเร่งปฏิกิริยา (catalize) ประกอบด้วย น้ำ น้ำดีจากตับ กรดเกลือจากกระเพาะ Ca
กระบวนการย่อยอาหาร
1. การย่อยที่ปาก ได้แก่
ก. การเคี้ยว (Mastication) เป็นการย่อยแนบเชิงกล (Machanical Digestion) หมายถึงการเปลี่ยนจากอาาหารที่มีโมเลกุลใหญ่ให้เป็นโมเลกุลเล็ก
ข. การกลืน (Deglulutition) เพื่อให้อาหารคลุกเคล้ากับน้ำย่อยส่งลงหลอดอาหารโดยการควบคุมของคอหอย จะมีแผ่นกระดูกอ่อนเรียกว่า “ฝาปิดกล่องเสียง”
เมื่ออาหารถึงหลอดอาหารจะถูกบีบผ่านอยางเร็วเรียกว่า “Peristalsis”
ในปากมีการย่อยอาหาร 2 แบบ คือ
1. เชิงกล (Mechanical Digestion) การทำให้อาหารที่มีขนาดใหญ่ให้เล็กลงอย่างรวดเร็ว
2. เชิงเคมี (Chemical Digestion) การทำให้อาหารเล็กลงช้า ๆ โดยมีน้ำย่อยและน้ำเป็นตัวย่อย
การย่อยเชิงเคมีในปาก น้ำลายจะประกอบด้วยน้ำย่อย Ptyalin หรือ Amylase ทำหน้าที่ย่อยแป้งให้มีโมเลกุลเล็กลงเรียกว่า “เดกซ์ตริน (Dextrin) จากนั้น Dextrin ก็จะย่อยเป็นน้ำตาลมอลโตส กลูโคส ตามลำดับ

กระบวนการย่อยจะเกิดขึ้นบริเวณรอยต่อของโมเลกุลหรือเรียกว่า “พันธะ” (bond)
2. การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร บริเวณใต้เยื่อบุกระเพาะอาหารมีต่อมที่ผลิตของเหลว (Gastric gland) ประกอบด้วย
- กรดเกลือ (HCl ; ไฮโดรคลอริก) ทำหน้าที่ให้โปรตีนสลายตัวเป็นโปรตีนสายสั้นๆ เรียกว่าโพลีเปปไตด์ (Polypeptide)
- เปปซิน (Pepsin) เป็นน้ำย่อยที่ย่อยโปรตีนให้เป็นโปรตีนสายสั้นๆ โดยมีกรดเกลือมาช่วย
- เรนนิน (Rennin) เป็นน้ำย่อยโปรตีนพบในเด็กหรือสัคว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีอายุน้อยโดยทำงานร่วมกับโปรตีนย่อยโปรตีนที่อยู่ในนมเรียกว่า “เคซีน (Casein)” จากนั้นก็จะมีแคลเซียมช่วยให้เคซีนเล็กลงไปเรียกว่า “พาราเคซีน (Paracasein)” ดังรูป
- สารเมือก (Mucus, Secretion) ทำหน้าที่หล่อลื่นอาหารหรือเคลือบผิวกระเพาะอาหารเพื่อป้องกันกรดไม่ให้กระเพาะอาหารถูกทำลาย
สาเหตุที่ผิวกระเพาะอาหารไม่ถูกทำลาย
1. เนื่องจากผิวกระเพาะเป็นเซลล์มีชีวิต จึงไม่สามารถยับยั้งการทำลายหรือ ถ้าถูกทำลายก็จะสามารถสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเพราะเป็นเซลล์มีชีวิต
2. ผิวกระเพาะมีสารเมือกซึ่งทำหน้าที่ป้องกันการกัดกร่อนของกรดเกลือ
วิธีที่จะไม่ทำให้กระเพาะอาหารถูกทำลาย
- กินอาหารให้ตรงเวลา
- ไม่รับประทานอาหารสลัด เช่น เปรี้ยวจัด เค็มจัด เผ็ดจัด
- ไม่กินยาแก้ปวดขณะท้องว่าง
- ไม่ดื่มอาหารที่มีแอลกอฮอล์
- ลดความเครียด (Stress)
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ไม่รับประทานอาหารที่หยาบหรือแข็ง
3. การย่อยอาหารที่ลำไส้เล็ก สารต่างๆ ที่ได้มาได้จาก
1. ตับอ่อน (Pancreas) ได้แก่ น้ำย่อยโปรตีน, คาร์โบไฮเดรท เรียกว่า Pancreatic juice
2. ตับ สารที่หลั่งออกมาคือ น้ำดี (Bile salt) มีสีเขียวแกมเหลืองใสรสขมจัด pH 7-8 ประกอบด้วย โซเดียมหรือโปแตสเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต (NaHCO3 ,KHCO3) มีหน้าที่ ทำให้ไขมันแตกตัว ปรับ pH ของอาหารให้มีสภาพเป็นเบสอ่อน ๆ ช่วยดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน และเป็นยาระบายช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น
3. หลั่งมาจากลำไส้เล็กโดยตรง บริเวณดูโอดินัม เรียกว่า Intestinal juice ตับอ่อนสร้าง Panereatic juice มีสีใสประกอบด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนตซึ่งมีสภาพเป็นเบส มี pH = 7-8 ได้แก่
- Amylase ทำหน้าที่ย่อยคาร์โบไฮเดรท เป็น Dextrin และ Disaccharide และ Glucose
Amylase Amylase Amylase
Starch Dextrin Disaccharide Glucose
H2O H2O H2O
- ทริปซิน (Trypsin) ทำหน้าที่ย่อยโปรตีนและ Polypeptide ที่มาจากกระเพาะอาหารให้มีโมเลกุลเล็กลงจรเป็น Dipeptide หรือกรด Amino ในที่สุด
Trypsin Trypsin Trypsin
Protein Polypeptide Dipeptide Amino acid
H2O H2O H2O
- ไครโมคริปซิน (Chrymotrypsin) ทำหน้าที่ย่อยโปรตีนหรือ Polypeptide ให้เป็น Dipeptide
Chrymotrypsin
Protein Polypeptide Dipeptide
H2O
- คาร์บอกซีเปปติเดส (Carboxypeptidase) ย่อย Polypeptide
Carboxypeptidase
Protein Polypeptide Dipeptide
H2O
- ไลเปส (Lipase) ทำหน้าที่ย่อยไขมันให้เป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล การย่อยจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีน้ำดีทำ ให้ไขมันแตกตัวเสียก่อน

bile salt(น้ำดี)
Lipid Emulsifier (ไขมันแตกตัว)

lipase
Emulsifier Fatty acid และ Glyceral
H2O
น้ำย่อยจาก Intestinal juice ได้แก่
- ไดซัคคาเรส (Disacharase) ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลโมเลกุลคู่ (Disaccharide) ให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ได้แก่ Maltase Sucrase และ Lactase
- อะมิโนเพปติเดส (Aminopeptidase) ย่อย polypeptide ให้เป็นกรดอะมิโน
สรุป กระบวนการย่อยอาหาร
การทดลอง ตอนที่ 1 กระบวนการย่อยแป้งด้วยน้ำลาย กระดาษเซลโลเฟน ทำหน้าที่เหมือนเยื่อเลือกผ่านซึ่งสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กจะซึมผ่านออกมาได้ คือน้ำตาลส่วนแป้งมีโมเลกุลใหญ่จึงไม่สามารถซึมผ่านออกมาได้ ตรวจสอบได้โดยสารละลายเบเนดิกต์
ตอนที่ 2 ทดสอบคุณสมบัติของน้ำลาย สามารถย่อยแป้งได้ในสภาวะปกติ ถ้าอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป กรด ด่างมาก ๆ น้ำลายก็จะหยุดทำงาน
ตอนที่ 3 ทดสอบคุณสมบัติของพื้นที่ผิวสัมผัส ยิ่งมาก การย่อยยิ่งย่อยได้เร็ว


2.2 ระบบสืบพันธุ์
2.2.1 การเจริญเติบโตของหญิงและชาย

ในวัยของนักเรียนช่วงอายุ 10 - 17 ปี เพศหญิงจะมีอัตราการเจริญเติบโตมากว่าชาย หลังจากนั้นเพศชายจะเจริญเติบโตมากกว่าเพศหญิง และจะหยุดการเจริญประมาณ 20 ปีสำหรับเพศหญิงและ 25 ปีสำหรับเพศชาย อัตราการเจริญเติบโต จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ
ก. การแสดงออกจากพันธุกรรม (ยีโนไทพ์ ; Genotype) เป็นลักษณะที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ คือมาจาก ยีน (Gene) นั่นเอง ได้แก่ สีผิว ผม ดวงตา ฯลฯ
ยีน (Gene) คือ หน่วยที่ควบคุมการแสดงออกของลักษณะต่าง ที่อยู่บนโครโมโซม
ข. การแสดงออกจากสิ่งแวดล้อม (ฟีโนไทพ์;Phenotype) เป็นลักษณะที่ได้รับอิทธิพลมาจาก สิ่งแวดล้อม (Enviroment) ได้แก่ อาหาร โรค จิตใจ การเลี้ยงดู ความรู้ ฯลฯ
เมื่อร่างกายเข้าสู่วัยรุ่น ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมน (Hormone) มากระตุ้นต่อมเพศให้ผลิตฮอร์โมนเพศ แล้วทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ต่อมเพศของเพศชายจะอยู่ที่ อัณฑะ (Testis) ส่วนต่อมเพศของเพศหญิงจะอยู่ที่ รังไข่ (Ovary)


1 ระบบสืบพันธุ์เพศชาย ประกอบด้วย


ก. ระบบสืบพันธุ์ภายนอก ได้แก่
1. ถุงอัณฑะ (Scrotum) ห่อหุ้มลูกอัณฑะให้อุณหภูมิต่ำกว่า 37 องศา
2. องคชาติ (Penis) ประกอบด้วย
- กล้ามเนื้อฟองน้ำ (Spongy) เมื่อเลือดถูกฉีดเข้าไปก็จะเกิดการแข็งตัว
- เส้นเลือด
- ท่อปัสสาวะ
Penis แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
1. Body ทำหน้าที่ในการแข็งตัว
2. Grand Penis จะหุ้มด้วยหนังหุ้ม ประกอบด้วยเยื่อบุผิว ทำหน้าที่รับความรู้สึก
3. หุ้มด้วยหนังหุ้ม ทำหน้าป้องกันการบาดเจ็บ
ข. อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน ประกอบด้วย
1. อัณฑะ (Testis) ตอนเด็กจะอยู่ในช่องท้อง พอโตขึ้นจะเลื่อนลงมาอยู่ที่ถุงอัณฑะ ทำหน้าที่ผลิต สเปิร์ม (Sperm) และฮอร์โมนเพศชาย ภายในประกอบด้วย
- หลอดเล็ก ๆ (Seminiferous tube)มีประมาณ 800 หลอดต่อข้าง ประกอยด้วยเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิต สเปิร์ม (Sperm) และฮอร์โมนเพศชาย
- หลอดเก็บสเปิร์ม (Epididymis)
2. หลอดนำสเปิร์ม (Sperm) ทำหน้าที่ลำเลียงสเปิร์ม ไปเก็บที่ต่อมเก็บ คือต่อมเคาว์เปอร์ (Cowper gland)
3. ต่อมเคาว์เปอร์ (Cowper gland) ทำหน้าที่สร้างอาหารให้กับสเปิร์ม ประกอบด้วยน้ำตาลฟรุกโตสและปรับสภาพให้เป็นเบสอ่อน ๆ
4. ต่อมลูกหมาก (Prostate gland) ทำหน้าที่สร้างสารให้มีปริมาณมากขึ้น และเก็บน้ำเชื้อ
สเปิร์ม แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย
1. ส่วนหัว ทำหน้าที่เจาะผนังเซลล์ไข่เพื่อเข้าไปปฏิสนธิ ภายในมีนิวเคลียส ประกอบด้วยโครโมโซมเพียงครึ่งหนึ่ง คือ 23 เส้น
2. ส่วนกลาง ประกอบด้วย เซนตริโอล และไมโตคอนเดรีย
3. ส่วนหาง ใช้โบกเคลื่อนที่
2. ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ประกอบด้วยอวัยวะสืบพันธุ์ 2 ส่วน



ก. อวัยวะสืบพันธุ์ ภายนอก ประกอบด้วย
1. แคมนอก (Major cam) มี 2 ข้าง ทำหน้าที่ปกปิดไม่สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ภายใน
2. แคมใน (Minor cam) มี 2 ข้าง เป็นเนื้อเยื่อบางติดกับแคมนอก
3. คลิตอรีส (Clitoris) ทำหน้าที่รับความรู้สึกทางเพศ
4. เยื่อพรหมจารี (Hymen)เป็นเยื่อบาง ๆ ปิดปากช่องคลอด
5. ท่อปัสสาวะ อยู่ตรงกลางระหว่าง Clitoris กับ ช่องคลอด
ข. อวัยวะสืบพันธุ์ ภายใน ประกอบด้วย
1. รังไข่ (Ovary) ทำหน้าที่ผลิตไข่ และฮอร์โมนเพศ อยู่ลึกเข้าไปในอุ้งเชิงกราน มีเนื้อเยื่อยึด มีขนาดเท่าหัวแม่มือ หนัก 2- 3 กรัม
2. ท่อนำไข่ หรือปีกมดลูก (Oviduct) เป็นท่อเชื่อมระหว่างมดลูกกับรังไข่ ภายในมีขนเล็ก ๆ มากมาย เรียกว่า ซีเลีย (Celia) ท่อนำไข่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.2 cm ยาวประมาณ 6-7 cm เป็นบริเวณที่มีการปฏิสนธิ
3. มดลูก (Uterus) มีลักษณะคล้ายผลชมพู่ กว้างประมาณ 4 ซ.ม.ยาว 6-8 ซ.ม.หนาประมาณ 2 ซ.ม.ส่วนล่างแคบเข้าหากันเรียกว่า “ ปากมดลูก” ต่อกับส่วนของช่องคลอดมดลูกประกอบด้วยเนื้อเยื่อ หลายชั้นคล้ายฟองน้ำทำหน้าที่ในการสร้างรก รองรับการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว (Zygote) เป็นที่แลกเปลี่ยนก๊าซและส่งอาหารให้กับตัวอ่อน (Embryo)
4. ช่องคลอด (Vagina) เป็นทางผ่านของสเปิร์มเข้าสู่มดลูก ลึกประมาณ 1.5- 2.0 นิ้ว
การเปลี่ยนแปลงของไข่ในรังไข่
เมื่อร่างกายเข้าสู่วัยสาวไข่สุกครั้งละ 1-2 ฟอง สลับข้างกัน ช่วงเวลา 28-32 วัน โดยไข่จะตกออกจากรังไข่เข้าสู่ท่อนำไข่ ในขณะเดียวกันผนังมดลูกก็จะสร้างผนังให้หนาขึ้น ถ้า
1. ไม่มีการปฏิสนธิ ไข่ก็จะสลายตัวไป ภายใน 3-4 สัปดาห์ พร้อมกับผนังมดลูกกลายเป็น ระดู หรือ ประจำเดือน (Mentruation)
2. มีการปฏิสนธิ ภายในท่อนำไข่ แล้วมีซีเลียช่วยโบกพัดให้ไข่ที่ผสมแล้ว มาฝังตัวที่ผนังมดลูกที่ถูกสร้างขึ้น แล้วมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เรียกว่า เอมบริโอ (Embryo)
เพศหญิงจะมีประจำเดือน ตั้งแต่ 11- 45 ปี ช่วงประจำเดือน 3-6 วัน ประมาณ 60-90 cc
การปฏิสนธิและการตั้งครรภ์ (Fertilization and Pagnant) จะเกิดขึ้นในช่วงกลางของประจำเดือน ประมาณวันที่ 8-21 ของประจำเดือน โดยจะสมบูรณ์ที่สุดวันที่ 14 ดังภาพ
ถ้ามี สเปิร์มเข้าไปในช่วงตกไข่ ไข่ก็จะถูกผสม โดยส่วนหัวของสเปิร์มจะเจาะผนังไข่เข้าไป โดยไข่จะสร้างสารหุ้มเซลล์ไม่ให้สเปิร์มตัวอื่นเข้าไปได้ ใช้เวลาประมาณ 10-12 ชั่วโมง จากนั้น ประมาณ 30-37 ชั่วโมงแล้วจะเกิดการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว
อายุ 3 สัปดาห์ เริ่มมี หัวใจ สมอง ไขสันหลัง อายุ 4 สัปดาห์ เริ่มมี ตา ตุ่มแขน ขา อายุ 6 สัปดาห์ เริ่มมี หู
อายุ 7 สัปดาห์ เริ่มมี ช่องปาก อายุ 8 สัปดาห์ เริ่มมี เพศ กระดูก อายุ 12 สัปดาห์ เริ่มมี อวัยวะครบ
อายุ 20-36 สัปดาห์ เริ่มมี สมองพัฒนาสมบูรณ์ อายุ 37-38 สัปดาห์ เริ่มมี ผม อายุ 38-39 สัปดาห์ คลอด
ขณะตัวอ่อนอยู่ในครรภ์ จะได้รับอาหารมาทางสายสะดือ ผ่านมาจากรก โดยมีการแลกเปลี่ยน ก๊าซ และของเสียต่าง ๆ
การคลอด

ปกติทารกจะคลอดเมื่ออายุประมาณ 38 สัปดาห์ หรือ 9 เดือน โดยฮอร์โมนจะเร่งให้กระดุกเชิงกรานขยายตัวแล้วส่วนหัวของทารกจะออกมาก่อน หลังคลอดปอดก็จะทำงานทันที และจะต้องได้ดื่มนมน้ำเหลือง (Colostum) ภายใน 4 วัน และจะต้องได้รับจากแม่ต่อไปอย่างน้อย 6 เดือน
ข้อดีของนมแม่
1. มีสารอาหารครบถ้วน 2. มีกรดอะมิโนจำเป็นที่นมวัวไม่มี 3. มีกรดไขมัน
4. มีน้ำตาลสูงกว่านมวัว 5. ประหยัดค่าใช้จ่าย 6. มีภูมิคุ้มกัน
7. ลดน้ำคาวปลาของแม่และมดลูกเข้าอู่ 8. แม่สุขภาพดี
2.1.2 ความผิดปกติของการตั้งครรภ์
1. ฝาแฝด (twin) มี 2 ชนิด

1.1 แฝดเหมือน (Identical twin) เกิดจาก ไข่ 1 ฟอง ผสมกับ อสุจิ 1 ตัว แล้วมีการแบ่งตัวผิดปกติโดยแยกออกเป็น 2 ตัว ถ้าแยกออกจากกันชัดเจน เรียกว่า “แฝดแท้” ถ้าแบ่งแล้วไม่แยกขาดออกจากกัน เรียกว่า “แฝดสยาม” เช่น แฝด อิน-จัน

ลักษณะพิเศษของแฝดเหมือน
- เพศเดียวกัน
- หน้าตาเหมือนกัน
- นิสัยใจคอเหมือนกัน
1.2 แฝดต่าง (Fraternal twin) เกิดจาก ไข่ตั้งแต่ 2 ฟองขึ้นไป ผสมกับ อสุจิ แล้วมีการแบ่งตัว

ลักษณะพิเศษของแฝดต่าง
- เพศเดียวกัน หรือต่างกัน
- หน้าตาไม่เหมือนกัน
- นิสัยใจคอไม่เหมือนกัน
2. ความพิการมาแต่กำเนิด
2.1 ติดเชื้อขณะอยู่ในครรภ์ ได้แก่ เอดส์ ซิฟิลีส หัดเยอรมัน สามารถทำให้ทารกพิการได้ เช่น ตาบอด จมูกแหว่ง เพดานโหว่ แขนขาด้วน ฯลฯ
2.2 ยาหรือสารพิษที่แม่ได้รับ เช่น แขนขาด้วน ปัญญาอ่อนฯลฯ
2.3 ความผิดปกติของยีน เช่น สีผิว ความสูง ผม ดวงตา ฯลฯ ยีนที่ความคุมลักษณะจะอยู่บนโครโมโซม (Chromosome) ในมนุษย์มี โครโมโซม 23 คู่ 22 คู่แรกเป็นเซลล์ร่างกาย คู่สุดท้ายเป็นโครโมโซมที่คุมลักษณะทางเพศ เรียกว่า “โครโมโซมเพศ”
เพศหญิง = 22 + XX
เพศชาย = 22 + XY
โรคที่เกิดจากความผิดปกติจากยีน ที่ถ่ายทอดทางโครโมโซมเพศ
1. ผิวเผือก 2. ปัญญาอ่อน 3. ตาบอดสี 4. ลิวคีเมีย 5. ธาลัสซีเมีย 6. เบาหวาน 7. หัวล้าน
ลักษณะของยีนส์ที่ควบคุมลักษณะ
1. ยีนเด่น (Dominant) จะแสดงออกตามลักษณะ จะเป็นเด่นแท้ หรือเด่นคุมลักษณะด้อยก็ได้เช่น มีขน ลักยิ้ม ผมหยิก
2. ยีนด้อย (Recesive) จะไม่แสดงออกตามลักษณะ ถ้ามียีนเด่นคุมลักษณะด้อยอยู่ แต่จะแสดงออกเมื่อเป็นยีนด้อยด้วยกัน เช่น ไม่มีขน ไม่ลักยิ้ม ผมตรง
ลักษณะที่ถ่ายทอดทางโครโมโซมร่างกาย
ให้ ยีน A แทนลักษณะผมหยิก และ ยีน a แทนลักษณะผมตรง
AA = ผมหยิก (เด่นแท้)
Aa = ผมหยิก (เด่นคุมด้วย หรือ พาหะ)
aa = ผมตรง (ด้อย)
ตัวอย่าง
พ่อ A a x แม่ A a
ลูก AA Aa Aa aa
จะเห็นว่า ลูกมีผมหยิกต่อผมตรงเกิดขึ้น 3:1 หรือ = 75 : 25 %
ข้อสำคัญ ในกรณีที่เป็นโรคที่เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม จะถูกกำหนดอยู่ที่โครโมโซมเพศ คือจะอยู่ที่โครโมโซม X ของเพศหญิงเท่านั้น เท่านั้น
เช่น ให้ C แทนตาปกติ และ c แทนตาบอดสี
XCXC เพศหญิง ตาปรกติ XCXc เพศหญิง ตาปรกติ เป็นพาหะ
XcXc เพศหญิง ตาบอดสี XCY เพศชาย ตาปรกติ
XcY เพศชาย ตาบอดสี
ตัวอย่าง
แม่มียีนส์ เป็น XCXc ตาปกติ เป็นพาหะ พ่อมียีน เป็น XCY ตาปรกติ ลูกที่เกิด จะได้ว่า
พ่อ XCY x แม่ XCXc
ลูก XCXC XCXc XCY XcY
จะเห็นว่า เกิดมีตาบอดสีเกิดขึ้นกับลูกชาย 1 : 3 หรือ 25 % ส่วนลูกผู้หญิง ปรกติหมด แต่เป็นพาหะ 1 : 3 หรือ 25 % ลูกชาย และ ลูกผู้หญิง ปรกติอย่างละ 25 %
2.1.3 การผสมเทียม หมายถึงการปฏิสนธิที่ไม่ได้มีการร่วมเพศ จะผสมอยู่นอกหรือในมดลูกก็ได้ เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่มีบุตรยาก หรือประโยชน์ทางการค้าสำหรับ พืชหรือสัตว์
1. เด็กหลอดแก้ว (Test tube babies) ใช้ไข่ผสมกับอสุจิ ในหลอด 16-18 ชั่วโมง นำไปเลี้ยงให้แบ่งเซลล์ 2-4 เซลล์ แล้นำไปฉีดเข้าโพรงมดลูกหรือท่อนำไข่
2. กิ๊ฟ Gift technique :GIFT, Gamete intrafallopian transfer(ผศ.นพ.สิงห์เพ็ชร สุขสมปอง) คือวิธีการที่ใส่เชื้ออสุจิ (ที่เตรียมแล้ว) และไข่ (sperm and egg)เข้าไปในท่อนำไข่ของฝ่ายหญิง 1 หรือ 2 ข้าง ทั่วๆไปจะใส่ไข่ 2 ฟองร่วมกับตัวเชื้ออสุจิ 5 หมื่นถึง 1 แสนตัวต่อท่อ 1ข้าง (รวมแล้วใช้ไข่ 4 ฟอง)
ข้อบ่งชี้
1. ภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ 2. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญนอกโพรงมดลูก 3. เชื้ออสุจิอ่อนแต่ไม่มาก 4. หลังจากไม่สำเร็จจากการผสมเทียมโดยใช้เชื้อชายอื่น ทำโดยนำไข่ใส่กับอสุจิ โดยมีฟองอากาศขั้นไว้แล้วฉีดเข้าไปในท่อนำไข่
3. ย้ายฝากตัวอ่อน (ET ; Embryo Transfer) ในกรณีที่มดลูกไม่สามารถรองรับบุตรได้แต่รังไข่ผลิไข่อยู่ ถ้าอยากมีบุตรต้องย้ายไข่ที่นำมาผสมภายนอกแล้วไปฝากกับผู้อื่น เช่น ญาติ
4. โคลนนิ่ง (Clonning) เป็นการกอบปี้ พันธุกรรม แล้วต่อในขั้นตอนของ ET มีหลักการง่าย ๆ ดังนี้ นำนิวเคลียสของเซลล์ต้นแบบ (เซลล์ร่างกาย) ไปใส่ใน เซลล์ไข่ ที่นำนิวเคลียสออก
2.1.4 การควบคุมจำนวนประชากรมนุษย์
ก. ใช้อุปกรณ์
1. ถุงยางอนามัย ปลอดภัย อาจระคายเคือง
2. ห่วงอนามัย
3. ฝาครอบมดลูก
ข. ใช้สารเคมี แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
1. ฮอร์โมน เอสโตรเจน และ โปรเจสเตอโรน ป้องกันการตกไข่ ผนังมดลูกหนา
2. ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้สภาพมดลูกไม่เหมาะสม เช่น
- ยาคุมกำเนิด
- ฝังฮอร์โมนใต้ผิวหนัง
- ยาสอดฆ่า สเปิร์ม
ค. โดยการผ่าตัด (ทำหมัน)
ง. การนับวัน เหมาะสำหรับ คู่สามีภรรยา โดยมีเพศสัมพันธุ์ ก่อนและหลังมีประจำเดือน 7 วัน
2.1.5 การเลือกเพศบุตรได้อย่างไร (นพ.ชุมพล ชินนิยมพาณิชย์)
มีคู่สมรสมากคู่ยังถกเถียงกันว่า การได้เพศบุตรผิดไปจากที่หวังไว้ จะเป็นเพราะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีข้อบกพร่องบางคนก็โทษฝ่ายหญิง บางคนก็โทษฝ่ายชายนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ได้สนใจและศึกษาเรื่องนี้มานานแล้ว จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ผลสรุปออกมาว่า การที่คู่สมรสจะได้เพศบุตรเป็นหญิงหรือชายนั้นขึ้นอยู่กับฝ่ายชาย เราทราบแล้วว่า การที่คนเราจะมีบุตรได้จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง องค์ประกอบหนึ่ง ที่สำคัญมาก คือจะต้องมีตัวอสุจิของฝ่ายชายไปผสมกับไข่ของฝ่ายหญิง ตัวอสุจินี้แหละคือผู้กำหนดเพศของบุตร
ตัวอสุจิมีรูปร่างอย่างไร ตัวอสุจิมีรูปร่างคล้ายลูกอ๊อด มี 2 ชนิดคือ
1. ชนิดหัวลูกอ๊อดรีและใหญ่ หางสั้น เคลื่อนไหวช้า ๆ เราเรียกว่า “โครโมโซม เอ็กซ์” จะเป็นตัวกำหนด เพศหญิง
2. ชนิดหัวลูกอ๊อดกลมเล็ก หางยาว เคลื่อนไหวรวดเร็ว เราเรียกว่า “โครโมโซม วาย” จะเป็นตัวกำหนด เพศชาย ถ้าตัวอสุจิเพศใดว่ายเข้าไปผสมกับไข่ได้ก่อนก็จะได้เพศบุตรตามนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการเพศบุตรเป็นเพศหญิง ก็พยายามทำให้ตัวอสุจิของเพศหญิงมีโอกาสเข้าไปผสมกับไข่ ถ้าต้องการเพศบุตรเป็นชายก็พยายามทำตัวอสุจิของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่โดยเร็วที่สุด การที่จะทำให้ตัวอสุจิเพศหนึ่งเพศใดไปผสมกับไข่ตามที่ตั้งใจไว้ได้นั้น สภาพความเป็นกรดด่างของมดลูก ช่วยได้มาก สภาพความเป็นกรดด่างในมดลูกในช่วงต่าง ๆ ของรอบเดือน จะช่วยให้ตัวอสุจิตัวหนึ่งตัวใดไปถึงไข่ และผสมกับไข่ได้ก่อน จึงได้มีผู้นำเอาหลักการนี้มาดัดแปลงเพื่อใช้ในการเลือกเพศบุตร
ถ้าต้องการได้บุตรชาย
1. ควรร่วมเพศในขณะที่ใกล้ไข่สุกซึ่งไข่จะสุกในระยะกึ่งกลางของรอบประจำเดือน หรือให้แพทย์ช่วย คำนวณเวลาไข่ตกได้ โดยอาศัยการวัดอุณหภูมิของร่างกาย และควรงดเว้นการ่วมเพศก่อนวันไข่ตก 3 - 5 วัน
2. ก่อนการร่วมเพศฝ่ายหญิงควรล้างช่องคลอดด้วยน้ำเป็นด่าง โดยใช้โซดาคาร์บอเนต (ซึ่งหาซื้อได้ตาม
ร้านขายยาทั่วไป) 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 1 ขวดเบียร์ใหญ่
3. ควรให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดในการร่วมเพศ
4. ในระยะที่ฝ่ายชายจะหลั่งน้ำอสุจิควรสอดอวัยวะเพศเข้าไปให้ลึกที่สุด


ถ้าต้องการได้บุตรสาว
1. หลีกเลี่ยงการร่วมเพศในระยะใกล้วันไข่สุก ซึ่งไข่จะสุกในระยะกึ่งกลางของรอบประจำเดือน ให้ร่วม
เพศก่อนหน้านั้น และไม่จำเป็นต้องงดเว้นการร่วมเพศ
2. ก่อนร่วมเพศควรสวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำที่มีสภาพเป็นกรดอ่อน ๆ โดยใช้น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
ผสมกับน้ำสะอาด 1 ขวดเบียร์ใหญ่
3. ควรรับหลั่งน้ำอสุจิก่อนที่ฝ่ายหญิงจะถึงจุดสุดยอด หรือพยายามหลีกเลี่ยงมิให้ฝ่ายหญิงมีความรู้สึก ถึงจุดสุดยอด หรือพยายามหลีกเลี่ยงมิให้ฝ่ายหญิงมีความรู้สึกถึงขีดดังกล่าว
4. ฝ่ายชายควรหลั่งน้ำอสุจิในขณะที่ปลายอวัยวะเพศอยู่ในช่องคลอดเพียงตื้น ๆ
2.3 ระบบการหัวใจ หมุนเวียนของเลือด ตัวจักรสำคัญของระบบนี้คือ หัวใจ และหลอดเลือด


1. หัวใจ (Heart) เมื่อร่างกายโตเต็มที่มีขนาดยาวประมาณ 12.5 cm กว้าง 9 cm และหนา 5 cm หนักประมาณ 300 g อยู่ระหว่างปอดทั้ง 2 ข้าง ส่วนล่างมีกระบังลมรองรับ ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น
1. เนื้อเยื่อชั้นใน (Endo cardium) ประกอบด้วยเยื่อบุผิว
2. เนื้อเยื่อชั้นกลาง (Myo cardium) ประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจ หนาที่สุด
3. เนื้อเยื่อชั้นนอก (Epi cardium) ประกอบด้วยเยื่อบุผิว หลอดเลือด ชั้นไขมัน
ห้องหัวใจ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีหัวใจ 4 ห้อง
1. ห้องบนซ้าย (Left Atrium) ทำหน้าที่รับเลือดแดงที่มาจากปอด
2. ห้องบนขวา (Right Atrium) ทำหน้าที่รับเลือดดำที่มาจากส่วนต่างๆของร่างกาย
3. ห้องล่างซ้าย (Left Ventricle) ทำหน้าที่ส่งเลือดแดงไปที่ส่วนต่างๆของร่างกาย
4. ห้องล่างขวา (Right Ventricle) ทำหน้าที่ส่งเลือดดำไปยังปอด
ลิ้นหัวใจ (Valve) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทำหน้าที่ ปิด-เปิด ไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ มีลักษณะคล้ายถุง นายวิลเลียม ฮาร์วีย์ ชาวอังกฤษ ค้นพบว่าเลือดไหลไปทางเดียว และมีลิ้นควบคุมอยู่ 2 กลุ่ม 4 ลิ้น ดังนี้
ก. ลิ้นในหัวใจ (cuspid Valve)
1. ลิ้นไตรคัสปิด (Tricuspid Valve) กั้นระหว่าง Right Atrium กับ Right Ventricle มี 3 แฉก
2. ลิ้นไบคัสปิด (ฺBicuspid Valve) กั้นระหว่าง Left Atrium กับ Left Ventricle มี 2 แฉก
ข. ลิ้นหัวใจกับหลอดเลือด (Semilunar Valve)
1. ลิ้นพัลโมนารีเซมิลูนาร์ (Pulmonary Semilunar) อยู่บริเวณโคนของเส้นเลือดออกจากหัวใจไปปอด (Pulmonary Artery) ที่ออกจาก ห้องRight Ventricle มี 3 แฉก
2. ลิ้นเอออร์ติกเซมิลูนาร์ (Aortic Semilunar) อยู่บริเวณโคนของเส้นเลือดแดงใหญ่ (Aorta) ที่ออกจาก ห้อง Left Ventricle มี 3 แฉก
2. หลอดเลือด
การหมุนเวียนเลือดในหัวใจ ประกอบด้วยหลอดเลือด 3 ระบบ โดยยึดระบบการ เข้า - ออก ของเลือดจากหัวใจ
1. ระบบหลอดเลือดออกจากหัวใจ (Arterial systeme) ส่วนใหญ่จะเป็นเส้นเลือดแดง ยกเว้น เส้นเลือดดำไปปอด (Pulmonary Artery) เส้นเลือดกลุ่มนี้ได้แก่
1.1 หลอดเลือดแดงใหญ่ (Aorta) นำเลือดออกจากห้องล่างซ้าย ไปเลี้ยงร่างกาย มีขนาดใหญ่ที่สุดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว
1.2 หลอดเลือดแดง (Artery) นำเลือดต่อออกจาก Aorta ไปเลี้ยงร่างกาย
1.3 หลอดเลือดแดงเล็ก (Arteriole) นำเลือดต่อออกจาก Artery ไปเลี้ยงร่างกาย เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.2 cm
ลักษณะของหลอดเลือดกลุ่มนี้
- มีผนังหนา ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น ชั้นในเป็นเยื่อบุผิว ชั้นกลางเป็นกล้ามเนื้อเรียบ และชั้นนอกสุดเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
- มีความยืดหยุ่นดีมาก ทนทานต่อแรงดันสูง
2. หลอดเลือดเข้าสู่จากหัวใจ (Venous systeme) หรือเส้นเลือดเวน(Vien) ส่วนใหญ่จะเป็นหลอดเลือดดำ ยกเว้น เส้นเลือดแดงที่มาจากปอด (Pulmonary Vein) เส้นเลือดกลุ่มนี้ได้แก่
2.1 หลอดเลือดดำใหญ่ (Vana cava) นำเลือดเข้าสู่ร่างกาย มีขนาดใหญ่ที่สุด มี 2 เส้น
2.1.1 หลอดเลือดสุพีเรียเวนาคาวา (Superoir Vana cava) นำเลือดกลับจาก ส่วนบนของร่างกาย เช่น หัว คอ แขน
2.1.2 หลอดเลือดอินฟีเรียเวนาคาวา (Inferoir Vana cava) นำเลือดกลับจาก ส่วนล่างของร่างกาย เช่น ขา ลำตัว
2.2 หลอดเลือดเวน (Vien) นำเลือดจากส่วนต่างๆ ของร่างกายเข้าสู่หลอดเลือดเวนาคาวา
2.3 หลอดเลือดเวนูล (Venule) นำเลือดจากส่วนต่างๆ ของร่างกายเข้าสู่หลอดเลือดเวน
ลักษณะของหลอดเลือดกลุ่มนี้
- มีผนังบาง ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น ชั้นในเป็นเยื่อบุผิว ชั้นกลางเป็นกล้ามเนื้อเรียบ และชั้นนอกสุดเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมีความยืดหยุ่นน้อย ภายในมีลิ้นกั้นไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
3. ระบบหลอดเลือดฝอย(Capillary) เป็นทั้งหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงเส้นผ่าสูญกลางประมาณ 7 ไมโครเมตร ผนังบางมากเพราะประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียว เลือดสามารถผ่านได้ที่ละเซลล์เท่านั้น
การไหลเวียนของเลือดในหัวใจ จะเริ่มจากจุดไหนก่อนก็ได้ ในที่นี้ขอเริ่มจาก
1. หัวใจห้องบนขวารับเลือดดำจากส่วนบนและส่วนล่างของร่างกายทางหลอดเลือด Inferior Venacava และ Superior Venacava จากนั้นเลือดดำจะถูกบีบผ่านลิ้น Tricuspid เข้าสู่หัวใจห้องล่างขวา
2. หัวใจห้องล่างขวาบีบตัวให้เลือดดำไหลผ่านลิ้น Pulmonary Semilunar ไปตามหลอดเลือด Pulmonary Artery เพื่อนำเลือดเสียไปฟอกที่ปอด แล้วส่งเลือดไปตามหลอดเลือด Pulmonary Vien เข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย
3. หัวใจห้องบนซ้าย บีบตัวให้เลือดแดงผ่านลิ้น Bicuspid ลงสู่ห้องล่างซ้าย
4. ห้องล่างซ้ายบีบตัวให้เลือดแดงไหลผ่านลิ้น Aortic Semilunar ไปสู่หลอดเลือด Aorta เพื่อนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตามระบบหลอดเลือดที่เรียนมาแล้ว แล้วกลับสู่หัวใจทางห้องบนขวาตามข้อ 1
ความดันเลือด (Blood Pressure) หมายถึงแรงดันของเลือดที่ดันผนังของเส้นเลือด โดยการบีบตัวของหัวใจ ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดทำให้เส้นเลือดพองออก มี 2 ประเภทคือ
1. ความดันสูง เกิดขึ้นขณะหัวใจบีบตัวเรียกว่า “ซีทโทลิค”(Systolic Pressure) หาค่าประมาณได้ดังนี้
P (ความดัน) = 100 + อายุ หน่วยเป็น มิลลิเมตรของปรอท เช่น นักเรียนอายุ 14 ปี P = 100 + 14 = 114 mm
2. ความดันต่ำ เกิดขึ้นขณะหัวใจคลายตัวเรียกว่า “ไดแอสโทลิค”(Diastolic Pressure)
ในการวัดความดันเขียนค่าความดันโดยใช้ ความดันสูง / ความดันต่ำ เช่น 110/70 , 120/80 , 130/90 ค่าเหล่านี้ถือว่าปกติ ความดันสูงจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ กิจกรรม อารมณ์ ขนาดของร่างกาย ฯลฯ
เครื่องมือวัดความดัน ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “สฟิกโมนาโนมิเตอร์” (Sphygmonanometer) วัดบริเวณเส้นเลือด Artery ที่ต้นแขน ชีพจร (Pulse) คือ การหดและคลายตัวของหลอดเลือดในจังหวะเดียวกับการหดและคลายตัวของหัวใจอัตราชีพจร (Pulse rate) เป็นค่าที่บอกอัตราการเต้นของหัวใจ โดยการจับที่หลอดเลือดแดงที่อยู่ตื้น ๆ เช่น ข้อมือ ซอกคอ ขาหนีบ เพศชายประมาณ 70 ครั้ง/นาที เพศหญิงประมาณ 75 ครั้ง/นาที
หน้าที่ของเลือด
1. ลำเลียง O2 และ CO2
2. ลำเลียงสารอาหารออก วิลลัสที่ลำไส้เล็ก ไปสู่เซลล์
3. ลำเลียงของเสียออกจากเซลล์ ไปสู่อวัยวะขับถ่าย
4. ลำเลียงภูมิคุ้มกัน
5. รักษาอุณหภูมิของร่างกาย
ส่วนประกอบของเลือด
คนที่โตเต็มที่จะมีเลือดประมาณ 70-80 % ของน้ำหนักตัว มีคุณสมบัติเป็นเบสอ่อน ๆ pH ประมาณ 7.35-7.45 ประกอบด้วย
1.ของเหลว หรือ พลาสมา (plasma) มีประมาณ 55 % ของเลือดทั้งหมด ลักษณะใสออกเหลืองประกอบด้วย
ก. น้ำ ประมาณ 90-93 % ทำหน้าที่
- รักษาปริมาณเลือดและความดันเลือดให้คงที่
- เป็นตัวทำละลายแร่ธาตุและวิตามิน
- ทำให้เซลล์เต่งขึ้น
ข. แร่ธาตุ ประมาณ 1 % เช่น Na , Mg , Cl
ค. โปรตีน ประมาณ 6-8 % ได้แก่ โปรทรอมบิน ไฟบริโนเจน อัลบูมีน ฯลฯ ทำหน้าที่
- เลือดมีความหนืด
- การแข็งตัวของเลือด
ง. สารอื่น ๆ เช่น สารอาหาร ก๊าซ ฮอร์โมน แอนติบอดี ฯลฯ
2. เม็ดเลือด มีประมาณ 45 % ของเลือดทั้งหมด ได้แก่
ก. เม็ดเลือดแดง (Erythrocyte หรือ Red Blood Cell)
ข. เม็ดเลือดขาว (Leucocyte หรือ White Blood Cell)
ค. เกล็ดเลือด (Pletelet)
ก. เม็ดเลือดแดง (Erythrocyte หรือ Red Blood Cell) เป็นเซลล์ที่โตแล้วไม่มีนิวเคลียสลักษณะคล้ายโดนัส มีสีแดงสดเพราะอิ่มตัวด้วย ออกซิเจน หรือแดงคล้ำเมื่ออิ่มตัวด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ ประกอบด้วย ฮีโมโกลบิน เมื่อจับกับ ออกซิเจน จะมีสีแดงสดเรียกว่า ออกซีฮีโมโกลบิน (Oxyhaemoglobin) พบว่า เลือด 100 ml สามารถจับกับออกซิเจน ได้ 20 ml ถ้าไม่มีฮีโมโกลบิน เลือด 100 ml สามารถจับกับออกซิเจน ได้เพียง 1 ml เท่านั้น เลือดสามารถจับกับสารอื่นได้อีกเช่น ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) ซึ่งสามารถจับได้เร็วกว่าออกซิเจนมากทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและถึงตายได้ แร่ธาตุสำคัญที่เป็นส่วนประกอบของเลือดและทำให้เลือดมีสีแดง เหล็ก โดยทั่วไปคนปกติ เพศชายมีเม็ดเลือดแดงประมาณ 5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ml และเพศหญิงมีเม็ดเลือดแดงประมาณ 4.5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ml ถ้ามีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่า 3.5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ml แสดงว่าเลือดจาง (Animia)
การสร้างและทำลายเม็ดเลือดแดง โดยจะสร้างจากไขกระดูกและเปลี่ยนไปตามอายุ เช่น
- ตัวอ่อน(embryo) หรือทารก (fetus) สร้างที่ ถุงไข่แดง (yolk sac)
- หลังคลอด (baby) สร้างจากไขกระดูกยาว ได้แก่ แขน ขา
- ตัวเต็มวัย หรือ 20 ปีขึ้นไป (adult) สร้างจากไขกระดูกชนิดแผ่น ได้แก่ กระดูกหน้าอก ซี่โครง เม็ดเลือดแดง มีอายุประมาณ 90-120 วัน และจะถูกทำลายที่ ตับ ม้าม ไขกระดูก ในอัตรา 5-10 ล้านเซลล์/วินาที
ข. เม็ดเลือดขาว (Leucocyte หรือ White Blood Cell) ทำหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอม โดยปกติจะปะปนมากับเลือดแดง มีนิวเคลียส ไม่มีฮีโมโกลบิน คนทั่วไปจะมีเม็ดเลือดขาวประมาณ 5,000-10,000 เซลล์ต่อเลือด 1 ml ถ้า เม็ดเลือดขาวทำงานจะมีอาการไข้ อักเสบ บางกรณีเม็ดเลือดขาวอาจลดลงผิดปกติเช่นการอักเสบจากเชื้อไวรัส (วัณโรค) สามารถนำมาวินัจฉัยโรคนี้ได้ หรือเม็ดเลือดขาวมีมากผิดปกติอาจเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Luekemia)
การสร้างและทำลายเม็ดเลือดขาว สร้างที่ ไขกระดูก ม้าม ต่อมน้ำเหลือง และถูกทำลายไปพร้อมกับสิ่งแปลกปลอม
ชนิดของเม็ดเลือดขาว แบ่งเป็น 2 ชนิด
1. ฟาโกไซต์ (Phagocye) มีนิวเคลียส 1 อันจะคอดเป็นหลายพูก็ได้ แต่ไม่แยกออกจากกัน มีหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอม เรียกว่า “ฟาโกไซโตซีส” (Phagocytosis)
2. ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) มีขนาดเล็กใกล้เคียงกับเม็ดเลือดแดง รูปร่างกลม นิวเคลียสกลม พบในเลือดและน้ำเหลืองทำหน้าที่สร้างสารทำลายสิ่งแปลกปลอม เรียกว่า “แอนติบอดี” (Antibody)
ค. เกล็ดเลือด (Pletelet) เป็นชิ้นส่วนของ ไซโตพลาสซึม มีประมาณ 250,000-350,000 ชิ้นต่อเลือด 1 ml รูปร่างไม่แน่นอน ขนาดประมาณ 1-4 ไมครอน ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
การแข็งตัวของเลือด เมื่อร่างกายเกิดบาดแผลร่างกายเกิดกระบวนการดังนี้
1. เส้นเลือดมีขนาดเล็กลง
2. เกล็ดเลือดไปอุดบาดแผลโดยใช้โปรตีนสร้างเป็นเส้นใยกั้นที่บาดแผล
3. เม็ดเลือดไม่สามารถไหลออกได้ ทำให้เลือดแข็งตัว

2.4 ระบบหายใจ (respiration) หมายถึง กระบวนการเผาผลาญสารอาหารภายในเซลล์เพื่อให้เกิดพลังงาน


ปอด (Lung) มี 2 ข้างลักษณะคล้ายฟองน้ำ อากาศผ่านเข้าออกทางรูจมูก ซึ่งมีขนเล็กๆ และมิวคัสทำหน้าที่กรองอากาศ อากาศผ่านเข้าสู่คอหอยเพื่อแยกลงสู่หลอดลม หลอดลมจะแยกแขนงเล็กลงเรื่อยๆ เรียกว่า หลอดลมฝอย ปลายสุดของหลอดลมฝอย มีลักษณะเป็นกระเปราะเล็กๆ เรียกว่า ถุงลม (Alveolus อัลวีโอลัส) หลอดลมใหญ่มีกระดูกอ่อนรูปเกือกม้าวางซ้อนกันเป็นชั้นๆกันไม่ให้หลอดลมแฟบ
รอบๆ อัลวีโอลัสจะมีเส้นเลือดฝอยมากมายเพื่อทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ และความร้อน ซึ่งมาจากกิจกรรมภายในเซลล์ ทำให้เกิดพลังงาน เรียกว่า “กระบวนการหายใจ”(Respiration) ดังสมการ
C6H12O6 + 6O2 6CO2 + 6H2O + พลังงาน
การหายใจเข้าออก
จากการทดลอง อธิบายการทำงานของปอดได้ดังนี้
การหายใจเข้า (inspiration) กล้ามเนื้อกระบังลมลดต่ำลง(ดึงแผ่นยางลง) พร้อมกระดูกซี่โครงยกตัวสูงขึ้น ทำให้ช่องอกมีปริมาตรมากขึ้น ความดันลดลงต่ำกว่าภายนอก ทำให้อากาศภายนอกไหลเข้า
การหายใจออก (exspiration) กล้ามเนื้อกระบังลมยกตัวสูงขึ้น(ปล่อยแผ่นยางขึ้น) พร้อมกระดูกซี่โครงลดตัวต่ำลง ทำให้ช่องอกมีปริมาตรน้อยลง ความดันสูงขึ้นกว่าภายนอก ทำให้อากาศภายในไหลออก
2.5 ระบบขับถ่ายหรือการกำจัดของเสีย (ที่ไม่ใช่ก๊าซ) ตัวจักรสำคัญของระบบนี้คือ
ก. การกำจัดของเสียที่ ไต
ข. การกำจัดของเสียที่ ผิวหนัง
ค. การกำจัดของเสียที่ ลำไส้ใหญ่
ของเสีย หมายถึงสารที่เกิดจากกระบวนการเมตาบอลิซึม (Metabolism) ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิต เช่น CO2 น้ำ ยูเรีย
เมตาบอลิซึม (Metabolism) หมายถึงกระบวนการหมุนเวียนแปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตก็คือกระบวนการสร้างพลังงานในเซลล์นั่นเอง
ก. การกำจัดของเสียที่ไต (Kidney) ลักษณะคล้ายเม็ดถั่วแดง มี 2 ข้าง ติดกับผนังช่องท้องด้านกระดูกสันกลังระดับเอว ยาวประมาณ 10- 13 cm กว้างประมาณ 6 cm หนาประมาณ 3 cm หนักประมาณ 150 g การขับถ่ายของเสียอยู่ในรูปของน้ำปัสสาวะ ประกอบด้วย
1. ท่อไต (Ureter) 2 ข้าง 2. กระเพาะปัสสาวะ (Urinary bladder) 3. ท่อปัสสาวะ
โครงสร้างของไต
ถ้าผ่าไตออกตามยาวจะเห็นไตประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น และช่องว่าง(กรวยไต) ส่วนประกอบเหล่านี้ได้แก่
1. เนื้อไตส่วนนอก (Cortex) มีสีแดงเข้ม มีลักษณะเป็นจุด ๆ แต่ละจุดเรียกว่าหน่วยไต (Nephron) ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด ภายในประกอบด้วย
1.1 โกลเมอรูลัส (Glomerulus) เป็นกลุ่มเส้นเลือดฝอยที่พันกันเป็นรูปทรงกลม ทำหน้าที่นำเลือดมากรอง
1.2 โบว์แมน แคปซูล (Bowman’s Capsule) ลักษณะเป็นกระเปาะรูปถ้วย มีเนื้อเยื่อ 2 ชั้น ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือด
1.3 ท่อไตส่วนต้น (Poximal tube) ทำหน้าที่รับของเสียที่กรองมาจาก โบว์แมน แคปซูล ก่อนส่งต่อไปยัง ลูพ ออฟ เฮนเล (loop of Henle)
1.4 หลอดไตส่วนปลาย (Distal tube) ทำหน้าที่รับของเสียที่มาจาก ลูพ ออฟ เฮนเล (loop of Henle) ออกสู่ท่อไตรวม (Collecting duct)
2. เนื้อไตส่วนใน (Medulla) มีสีจางมีลักษณะเป็นเส้น ๆ ประกอบด้วย
2.1 ลูพ ออฟ เฮนเล (loop of Henle) เป็นหลอดโค้งรูปตัว U เป็นท่อที่มีผนังบางที่สุด ทำหน้าที่ดูดของเหลวที่มีประโยชน์กลับมากที่สุด ทำให้ของเสียมีความเข้มข้นมากขึ้น
2.2 ท่อไตรวม (Collecting duct) นำของเสียออกสู่กรวยไต
* ส่วนของเนื้อไตส่วนใน (Medulla) ที่ยื่นเข้าไปในช่องว่างของกรวยไต เรียกว่า พาพิลล่า (Papilla)
1. กรวยไต เป็นช่องว่างที่เก็บของเสียที่กรองได้ทั้งหมด เพื่อส่งออกนอกไตไปสู่กระเพาะปัสสาวะ
ไตทำหน้าที่อะไร
ไตคนเรามี 2 ข้าง อยู่บริเวณข้างหลังใต้ชายโครง บริเวณบั้นเอว มีรูปร่างคล้ายถั่วเหลือง ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร ประกอบด้วยหลอดเลือดฝอยมากมาย เรียกว่า หน่วยไต (Nephron) หน่วยไตนี้ จะลดจำนวนและเสื่อมสภาพไปตามอายุและไม่สามารถแบ่งตัวใหม่ได้ 1. กำจัดของเสีย เมื่อร่างกายได้รับสารอาหาร จะมีการย่อยสลายนำส่วนที่เป็นประโยชน์ดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในขณะเดียวกันเซลล์ร่างกายจะปล่อยของเสียออกสู่กระแสเลือด ผ่านมายังไต และถูกขับออกมากับปัสสาวะ นอกจากนี้ไตยังทำหน้าที่ขับยาและสารแปลกปลอมอื่นๆ ด้วย 2. ดูดซึมและเก็บสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไว้ สารบางประเภทแม้จะถูกกรองออกมาได้ แต่ถ้าเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น น้ำตาล ฟอสเฟต และโปรตีน จะถูกดูดกลับโดยเซลล์ของหน่วยไต เพื่อนำกลับไปใช้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้อีก
3. รักษาสมดุลน้ำของร่างกาย ไตเป็นตัวขับน้ำที่มีมากเกินความต้องการออกมา ดังนั้นจึงสังเกตได้ว่า ถ้าเราดื่มน้ำมาก หรืออากาศเย็น ปัสสาวะจะมีปริมาณมากและใส ในทางตรงกันข้าม หากร่างกายขาดน้ำ ไตจะพยายามสงวนน้ำไว้ทำให้ปัสสาวะมีประมาณน้อยและเข้มข้น 4. รักษาสมดุลเกลือแร่ของร่างกาย ไตที่ปกติจะขับส่วนเกินของเกลือส่วนเกินได้เสมอ แม้จะรับประทานเค็มมาก แต่ถ้าสมรรถภาพไตเสื่อมลง จากการเป็นโรคไต จะมีอาการบวมถ้ารับประทานเกลือมากเกินไป
5. รักษาสมดุลกรดด่างของร่างกาย ร่างกายของคนเราผลิตกรดทุกวัน จากการเผาผลาญอาหารโปรตีนที่รับประทานเข้าไป ในสภาวะที่ไตทำหน้าที่ปกติ จึงไม่มีกรดคั่งในร่างกาย ยกเว้นว่าไตมีความบกพร่อง เช่น ไตวายร่างกายจะมีสภาวะเป็นกรด
6. ควบคุมความดันโลหิต ความดันโลหิตสูงเป็นผลจากการผิดปกติ ในการควบคุมสมดุลน้ำ และเกลือ รวมทั้งการสร้างสารบางชนิดมาเพิ่มความดันโลหิต ผู้ป่วยโรคไตหลายชนิด จึงมักมีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย เพราะไตถูกกระตุ้นให้สร้างสารที่ทำให้ความดันดลหิตสูงขึ้น
7. สร้างฮอร์โมน ไตปกติสามารถสร้างฮอร์โมนได้หลายชนิด เมื่อไตเป็นโรค การสร้างฮอร์โมนเหล่านั้นจะบกพร่องไป เช่น ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังจะขาดฮอร์โมนเออริโธรพอยอิติน (Erythropoietin) ที่ควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการซีดเกือบทุกราย นอกจากนี้ไตยังผลิตฮอร์โมนอื่น เช่น วิตามินดีชนิด Calcitriol ซึ่งช่วยควบคุมการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนี้การมีระดับวิตามินดี และแคลเซียมในลือดต่ำลง ยังเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ต่อม พาราธัยรอยด์ที่คอหลั่งฮอร์โมน ออกมามากผิดปกติ ซึ่งเป้นผลเสียต่ออวัยวะ หลายอย่างในร่างกาย
การสร้างน้ำปัสสาวะ
การสร้างน้ำปัสสาวะ ประกอบด้วย 3 กระบวนการ ดังนี้
1. กระบวนการกรอง เกิดขึ้นที่โกลเมอรูลัส ทำให้สารที่มีโมเลกุลเล็กซึมผ่านมาพร้อมกับน้ำ เช่น แร่ธาตุ กลูโคส ยูเรีย กรดยูริก ปกติไตจะกรองเลือดได้ประมาณ 180 ลิตร/วันและถูกดูดกลับ เหลือออกเป็นปัสสาวะประมาณ 1 cc/นาที หรือประมาณ 1,440 cc/วัน
2. กระบวนการดูดกลับเกิดขึ้นที่ท่อไตส่วนต้น และมากที่สุดที่ Loop of Henle สารที่ดูดกลับหมดได้แก่ กลูโคส วิตามิน C แร่ธาตุบางชนิด สารที่ดูดกลับหมดได้แก่ น้ำ เกลือ สารที่ไม่ดูดกลับเลยคือ โปรตีนอินนูลิน(Innulin) สารที่มีการดูดกลับเป็นส่วนน้อย ได้แก่ ยูเรีย ฟอสเฟต ซัลเฟต ศูนย์ควบคุมการดูดกลับมาจากฮอร์โมน จากต่อมใต้สมองส่วนท้ายมากับกระแสเลือดชื่อ แอนติไดยูเรติกฮอร์โมน (Antidiuretic Hormone; ADH) โดย ADH จะกระตุ้นให้รูระหว่างเซลล์ของท่อไตขยายขึ้นให้สารที่มีโมเลกุลเล็กกลับนำไปใช้ในร่างกายใหม่ ถ้าขาด ADH จะไม่เกิดกระบวนการดูดกลับคือจะปัสสาวะบ่อย จะเกิดโรค เบาจืด
3. กระบวนการหลั่งสารเพื่อให้เกิดการดูดกลับสมบูรณ์ เกิดขึ้นที่รอบๆ หน่วยไต สร้างสารต่าง ๆ เติมเข้าไปในพลาสมาที่กรองได้ เพื่อปรับ pH และความเข้มข้นของปัสสาวะ สารเหล่านี้ได้แก่ K+ (โปแตสเซียมอิออน), H+ (ไฮโดรเจนอิออน), กรดยูริก ทำหน้าที่ปรับความสมดุลในน้ำปัสสาวะ
ลักษณะเนื้อเยื่อบางส่วนในไต ท่อไตประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบเคลื่อนตัวแบบเพอริสตัลซิส เพื่อบีบตัวส่งน้ำปัสสาวะตกลงสู่ท่อปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะ ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบอยู่หลังกระดูกหัวเหน่า อยู่ด้านหลังมดลูกมีหน้าที่สะสมน้ำปัสสาวะ ความจุประมาณ 150-500 cc เมื่อกระเพาะปัสสาวะตึง ก็จะบีบตัวให้ปวดปัสสาวะ โดยตรงโคลนของท่อปัสสาวะจะมีหูรูดโดยขึ้นอยู่กับอำนาจของาจิตใจ ปัสสาวะจะถูกขับออกทางท่อปัสสาวะ ในหญิงยาวประมาณ 1.5 นิ้ว ชายประมาณ 8 นิ้ว 1 วันจะขับถ่ายประมาณ 500-1,500 cc
ข. การกำจัดของเสียที่ผิวหนัง ผิวหนังประกอบด้วย cell 2 ชั้นคือ- cell ผนังกำพร้า cell หนังแท้และแต่ถ้าเกิดจากขบวนการกำจัดของเสียจะมีชั้นพื้นฐานคือ ชั้นของไขมัน ดังนี้
1. หนังกำพร้า ประกอบด้วยเยื่อบุผิวที่ตามแล้วเรียงเป็นชั้น ประกอบด้วยสาร เมลานิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเม็ดสี หรือรงควัตถุ(Pigment) ทำหน้าที่ห่อหุ้มร่างกาย
2. หนังแท้ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ cell ร่างกาย ยืดหยุ่นได้ดี ประกอบด้วยต่อมเหงื่อ เซลล์ประสาทรับความรู้สึก เส้นเลือดฝอย
3. ชั้นเนื้อเยื่อพื้นฐาน (ชั้นไขมัน) เป็นชั้นที่ประกอบด้วย cell ไขมัน หรือเรียกว่า Adipose cell ทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อน ทำให้ร่างกายเกิดความอบอุ่น
การกำจัดของเสียเกิดขึ้นที่ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมัน โดยปล่อยมาตามท่อเล็ก ๆ เรียกว่า “รูขุมขน” ของเหลวที่ขับออกมาเรียกว่า “เหงื่อ” ประกอบด้วยน้ำ แร่ธาตุ ยูเรีย กลิ่นตัว เหงื่อจะระเหยออกจากร่างกายโดยพาเอาความร้อนออกไปด้วย ทำให้ร่างกายรู้สึกเย็น ชนิดของต่อมเหงื่อ ต่อมเหงื่อถูกควบคุมการทำงานโดยการทำงานของศูนย์ควบาคุมอุณหภูมิในสมอง แบ่งเป็น 2 ชนิด
- ต่อมเหงื่อเล็ก ๆ อยู่บริเวณผิวหนังทั่วร่างกาย ยกเว้นริมฝีปาก อวัยวะสืบพันธุ์บางส่วน
- ต่อมเหงื่อใหญ่ เช่นรักแร้ รอบๆ สะดือ รอบๆ หัวนม จมูก แผ่นหลัง อวัยวะสืบพันธุ์บางส่วน
ส่วนประกอบของเหงื่อ
1. น้ำ 99 %
2. แร่ธาตุอื่นๆ ได้แก่ เกลือ ยูเรีย น้ำตาล กรดอะมิโนบางชนิด สารทำให้เกิดกลิ่น ประมาณอีก 1%
ค. การกำจัดของเสียที่ลำไส้ใหญ่ จะมีการบีบตัวเพื่อให้อาหารที่ไม่มีประโยชน์แล้ว ซึ่งเรียกว่า อุจจาระ ออกสู่ภายนอกร่างกายทางทวารหนัก
เมื่ออุจจาระตกอยู่ในลำไส้ใหญ่นานวัน น้ำในอุจจาระจะถูกดูดซึมกลับไป ทำให้อุจจาระแข็ง เกิดความลำบากในการถ่าย อาการนี้เรียกว่า ท้องผูก
2.6 ระบบประสาท
ทำหน้าควบคุมระบบการทำงานของร่างกาย เช่น การหายใจ การตอบสนอง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเจริญ ฯลฯ ประกอบ ด้วย สมอง ไขสันหลัง และ เส้นประสาท
1. สมอง เป็นศูนย์ควบคุมทั้งหมดของร่างกาย มีเยื่อหุ้ม 3 ชั้น แบ่งสมองออกเป็น 3 ส่วน
1.1 ซีรีบรัม(สมองส่วนหน้า) มีขนาดใหญ่ที่สุด ทำหน้าที่รับความรู้สึกและสั่งการ เช่น การจำ เชาว์ ไหวพริบ ความคิด การเรียนรู้ ได้ยิน เห็น พูด เดิน ความสมดุลในการทรงตัว ถ้าส่วนนี้ตายไป ถือว่า บุคคลนั้นตายแล้ว เช่น ขาดเลือดเกิน 4 นาที
1.2 ซีรีเบลรัม(สมองส่วนหลัง) มีขนาดเล็กกว่าซีรีบรัม ทำหน้าที่ควบคุมกิจกรรมของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว และสมดุล
1.3 ก้านสมอง ได้แก่ เมดุลลาออบลองกาตา พอนด์ ทำหน้าที่ควบคุม การหายใจ หัวใจ หลั่งน้ำย่อย หลั่งฮอร์โมน
2. ไขสันหลัง เป็นทางผ่านของกระแสประสาทต่อมาจากสมองบรรจุอยู่ภายในกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานแบบ รีเฟลกซ์แอกชั่น คือ การตอบสนองแบบไม่ตั้งใจโดยไม่ผ่านสมอง เช่น การดีดเท้าเมื่อเคาะหัวเข่า การกระดกเท้าเมื่อเหยียบหนาม
2.7 ระบบโครงกระดูก
ในร่างกายมนุษย์ เป็นระบบโครงกระดูกภายใน มีทั้งหมด 206 ชิ้น อยู่ที่ มือ และเท้ามากที่สุด ประกอบด้วยกระดูกแกนหลัก 80 ชิ้น กระดูกระยาง ที่ใช้เคลื่อนไหว 126 ชิ้น เซลล์กระดูกประกอบด้วยเซลล์มีชีวิต และส่วนที่แข็งประกอบด้วย แคลเซียมคาร์บอเนต และ แคลเซียมฟอสเฟต ภายในบรรจุไขกระดูกทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดง
2.8 ระบบกล้ามเนื้อ
ในร่างกายมนุษย์ มีกล้ามเนื้อมากกว่า 500 มัด น้ำหนักรวมกันประมาณครึ่งหนึ่งของร่างกาย แบ่ง ออกเป็น 3 กลุ่ม
ก. เซลล์กล้ามเนื้อลาย (reticular muscle) พบตาม แขน ขา ติดกับกระดูก ทำงานหนัก อยู่ใต้อำนาจจิตใจ
ข. เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) พบตาม อวัยวะภายใน เช่น ทางเดินอาหาร ลำไส้ มดลูก กระเพาะปัสสาวะ ทำงานอยู่นอกอำนาจจิตใจ
ค. เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac cell) พบที่หัวใจ ทำงานอยู่นอกอำนาจจิตใจ
คุณสมบัติของกล้ามเนื้อ
1. ความเมื่อยล้า เกิดจากการทำงานนาน ๆ แล้วเกิดกรดแลกติกจากการสร้างพลังงานในเซลล์
2. การเป็นตะคริว เกิดจากการทำงานนาน ๆ แล้วขาดเลือด และออกซิเจน
3. เซลล์กล้ามเนื้อไม่มีการสร้างใหม่แต่จะเจริญโตขึ้น
4. เมื่อถูกตัดเซลล์ที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์จะสร้างส่วนที่ขาดหายไปแทนได้ ส่วนที่ไม่สมบูรณ์จะเสื่อมสลายไป
2.9 ระบบภูมิคุ้มกัน
เชื้อโรคทุกชนิดจะมีสารเคมีที่ผิวเซลล์ เรียกว่า “แอนติเจน” (antigen) เมื่อร่างกายเราได้รับเชื้อโรค ร่างกายเราก็จะสร้างสารเคมีต่อต้าน เรียกว่า “แอนติบอดี” (antibody)อยู่ในกระแสเลือด ซึ่งจะจับกับแอนติเจนที่ผิวของเชื้อโรค เฉพาะตัวกันเท่านั้น
เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด ลิมโฟไซต์ ในต่อมน้ำเหลือง สามารถสร้างสาร แอนติทอกซิน เพื่อทำลายสารพิษที่เชื้อโรคสร้างขึ้นได้ด้วย
เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดฟาโกไซต์ สามารถ ทำลาย เชื้อโรคได้ด้วย เรียกว่า “ฟาโกไซโตซีส”
วัคซีน เป็นเชื้อโรคที่กำลังอ่อนตัวหรือตายแล้ว แต่ยังมี แอนติเจน ที่สามารถไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง แอนติบอดี เพื่อทำลายเชื้อโรคก่อนที่จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้นเราจึงต้องได้รับวัคซีนให้ครบทุกชนิด
เซรุ่ม เป็นสาร แอนติทอกซิน ที่สร้างมาจากที่อื่น เพื่อให้ทำลายได้เร็วก่อนที่พิษจะเข้าสู่จุดดับของชีวิต
ข. การสร้างสุขภาพจิต
มีคำกล่าวว่า “จิตที่แจ่มใสขึ้นอยู่กับร่างกายที่สมบูรณ์” แสดงให้เห็นว่าร่างกายเป็นสำคัญที่จะทำให้สุขภาพดี แต่อย่าลืมว่า ร่างกายที่ดีจะต้องมาจาก
1. อาหาร
2. การออกกำลังกาย
3. สุขภาพจิต
4. สิ่งแวดล้อม
5. พฤติกรรมของตัวเอง

ข้อมูลจาก www.google.com คำค้น ร่างกายมนุษย์ ม.2 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2552
http://www2.pn.ac.th/webpn/Elearnning/Wit/Body/body.html
www.tanti.ac.th/E-book_Kru/kit/link3.ppt
http://media.click-computer.com/body/main.htm
http://school.obec.go.th/schoolvit/chapter/unit1/index1.php

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น